บล็อกตอนนี้.ใครกลัวความสูงต้องเตรียมใจกันไว้ก่อนนะ เพราะเราพากันไป เสียววว สูงงงงง ยืนกันบนขอบตึกที่ Sky Deck เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยด์ ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกากัน เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของสหรัฐเลย รองจากเมืองนิวยอร์คและลอสแองเจิลลิส และด้วยที่ตั้งที่ติดทะเลสาบมิชิแกน ทำให้เมืองนี้มีลมพัดแรงตลอดทั้งปี จนได้ฉายาว่า “Windy City”
และเพราะลมนี่เองที่ทำให้ชิคาโกเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อกว่า 140 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีการออกแบบผังเมืองใหม่ พร้อมกับระดมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสร้างตึกระฟ้า จนอย่างที่ได้เห็นเมืองชิคาโกที่ถูกรายล้อมไปด้วยตึกสูงใหญ่อย่างทุกวันนี้
การเดินทางที่นี่สะดวกสบายมากด้วย Train ที่เรียกว่า “Chicago Metro” ประกอบไปด้วยหลายสาย เช่นกัน เช่นสายสีน้ำตาล ส้ม น้ำเงิน เราใช้ Metro Blue line ค่ะ
– ตั๋วแบบเที่ยว เที่ยวละ 3$
– ตั๋วแบบรายวัน ไม่จำกัดเที่ยว 10$ (แนะนำให้ซื้อตั๋วรายวันไปเลย สะดวกและคุ้มสุด)
CHICAGO CTA BUS & TRAIN : http://www.transitchicago.com/
และวันนี้เป้าหมายของเรา คือ
✈ ขึ้นไปยังชั้น 103 ของตึก Skydeck พร้อมกับยืนลุ้นระทึกอยู่บนกระจกใสสุดขอบติ่งของตึก (Blue Line : Jackson Station)
✈ สวนสาธารณะ Millennium Park อันเป็นที่ตั้งของ Cloud Gate หรือเจ้า BEAN กระจกยักษ์รูปถั่ว ที่เค้าบอกว่าหากไม่มาเยือน ประหนึ่งกับมาไม่ถึงชิคาโก (Blue Line : Washington Station)
ส่วนที่เที่ยวอื่นๆ ยังมีอีกเยอะแยะติดตามได้ที่ “TOP 10 THINGS TO DO IN CHICAGO”
https://www.tripadvisor.com/Attractions-g35805-Activities-Chicago_Illinois.html
โผล่ขึ้นมาจาก Jackson Station ก็เจอตึกสูงเสียงฟ้าล้อมรอบเต็มไปหมด ข้อหนึ่งที่เราชอบสำหรับชิคาโกมากคือ ที่นี่ใช้ระบบขนส่งโดย Train ซึ่งแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา ที่จะเน้นการเดินทางด้วยรถเป็นหลัก คนที่โดยสารโดยรถไฟจะถือเป็นคนจนไปเลย ค่าแท็กซี่ที่เมืองอื่นๆ ของอเมริการาคาจึงพอประมาณค่ะ (แต่ Uber ถูกมาก )
ที่ชิคาโกนี้มีตึกของทรัมป์ ชื่อว่า Trump Tower ของประธานาธิบดีคนใหม่แห่งสหรัฐอเมริกาด้วยค่ะ ล้อมรอบไปด้วยตึกสูงใหญ่ มูลค่าตึกของที่นี่คงไม่ต้องกล่าวถึง จึงไม่ต้องแปลกใจหากเห็น Business Man , Salary Man เดินใส่สูทเต็มยศอยู่ตามท้องถนน… ถือเป็นเรื่องปกติ
บังเอิญว่าเราไปถึงตึก The Skydeck at Willis Tower (หรือเรียกอีกชื่อว่า Sear ) ก่อนเวลาเลยนั่งกินแมคโดนอลชุดอาหารเช้า (แมคมัฟฟิน) ธุรกิจนี้ทำงานอย่างมหาศาลเพราะมีสาขาตลอดแนวของทุกซอกตึก รวมไปถึงสตาร์บัคเองก็เช่นกัน เรียกว่าได้ว่า เดินไม่ถึง 100 เมตรก็เจอร้านแมคดอนอลอีกแล้ว (น่าจะเหมือน 7-11 บ้านเรา) มีสาขาเยอะจนทำให้เจ้าของแมคโดนอลเป็นอภิมหาเศรษฐี และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ” ผมไม่ได้ทำธุรกิจขายแฮมเบอร์เกอร์ ผมทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ” (เน่.. เท่ห์ป้ะล้ะ ประโยคจากหนังสือพ่อรวยสอนลูก)
Willis Tower อาจจะเป็นเหมือนตึกทั่วไปที่มีพนักงานบริษัทมาทำงาน แต่เค้าได้หาจุดขายของตัวเอง โดยการสร้างจุดชมวิวที่เห็นวิวเมืองชิคาโก พร้อมกับระเบียงกระจก (ใส) ที่ยื่นออกไป มองเห็นพื้นข้างล่าง เสมือนลอยอยู่บนอากาศ “Dare to walk on air!”
OCT-MAR 10 am -8 pm
APR-SEP 9am-10pm
Last entry is 30 minutes prior to closing
ใครที่จะมาแนะนำมากๆ ว่าควรมาช่วง 10 โมงเช้าเลย จะได้ไม่ต้องต่อแถวรอคิวนานกว่า ชม. เมื่อตึกเปิดแล้วเราสามารถเข้าไปเพื่อซื้อตั๋วขึ้นชมข้างบน ในราคา 22$ สำหรับผู้ใหญ่ และ 14$ สำหรับเด็ก
บางคนมองว่าแพง แต่สำหรับเราแล้ว รับประกันความประทับใจ กับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ จนลืมเรื่องราคาไปเลย ^^ หลังจากผ่านด่านซื้อตั๋วไปแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่พาเดินขึ้นลิฟต์และคอยอำนวยความสะดวกให้จน เราเดินทางมาถึงกันที่ชั้น 103! พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เปิดอ้าออก
เป็นวิวเมืองชิคาโกอยู่เบื้องหน้า .. สวยงามมากค่ะ รู้สึกว่าเป็นเมืองที่เจริญมากแล้วจริงๆ ถึงในรูปจะมืดครึ้มไปหน่อยก็ตามเนื่องจากวันนั้นฝนตก
จากจุดนี้สามารถมองเห็นหลายตึกชื่อดังของชิคาโก เช่น John Cock Tower , Millennium Park , Water Tower , Lincoln Park Zoo ,Hyde Park เป็นต้น
ลืมบอกว่า รอบนี้มาเที่ยวคนเดียว ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือยังไงเราก็ต้องมา! เพราะตั้ง Mindset ไว้ในใจแล้ว ว่า “เที่ยวซะ! เพราะชั้นจะไม่มาชิคาโกอีกแล้วววว ไฟลท์นรกมากมาย ” ผดส. ที่ถือพาสปอตอเมริกา เกือบทั้งลำ เรายังไม่ทำจะอ้าปากพูดเล้ยยย เรียกจะไปคอมเพลน จะเรียกหัวหน้าซะงั้น (ไฟลท์นี้เลื่องชื่อมากค่ะ)
ทาด๊า เจ้ากระจกใส ที่เป็นติ่งที่ยื่นออกมาจากตึกอย่างที่บอก มีความหวาดเสียวเล็กน้อย แต่ตอนถ่ายรูปสนุกจนลืมความรู้สึกนั้นไป .. แอบรู้สึกดีกับตัวเองมาก ที่วันนี้พาตัวเองมาได้ไกลถึงจุดนี้แล้ว เพราะสมัยตอนเรียนมหาลัย ปิดเทอมเพื่อนๆ ต่างต้องมา Work and Travel ยอดฮิตกัน ส่วนเราไม่มีเงินและต้องเลือกที่จะฝึกงานที่สนามบินเพื่อล่าฝันของตัวเองก่อน จนวันนี้.. รู้สึกไม่เสียดายเลยที่ยอมอดเปรี้ยวกินหวาน ได้ไปในที่ที่อย่างไปด้วยตัวของตัวเอง รู้สึกว่ามัน Fullfill ชีวิตให้จริงๆ ^^
พอมาดูเอาเข้าจริง มันก็สูงใช้ได้เลยเเฮะ 5555
วิวยอดตึกข้างบนก่อนที่เราจะลงไปที่ Millennium Park ต่อกันแล้วค่ะ
ผ่านร้านขายของที่ระลึก แก้วมัคต่างๆ
ประวัติความเป็นมาของตึก
และหากใครที่หิวต้องการหามื้อเที่ยง ในระแวกนั้นมีร้านพิซซ่าชื่อดังอย่าง “Giordano’s Pizza” ที่เสิร์ฟ Stuffed Pizza (พิซซ่าแบบนุ่มฟู หนาเป็นพิเศษ คล้ายๆกับคีช)
เดินทางไปกันต่อเพื่อไปเยือนเจ้า BEAN ก่อนจะเป็นการจบทริปสำหรับวันนี้ ช่วงนี้เข้าสู่หน้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ข้อดีของการมาเที่ยวชิคาโก้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาว คือ โรงแรมถูกค่ะ
Millennium Park กับ Stadium
มาถึงแล้วกับ Cloud Gate หรืออีกชื่อคือ The Bean (ตรงกลางของรูป) ที่มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว เป็นงานประติมากรรมชิ้นใหญ่อยู่กลางสวน ของศิลปินชาวอินเดีย-อังกฤษ ชื่อ Anish Kapoor เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชิคาโก ใครมาเที่ยวชิคาโกห้ามลืมเจ้าถั่วนี่เด็ดขาด ส่วนด้านหลัง The Bean จะมีลานไอซ์เสก็ต
ภายใน The Bean เป็นกระจกสะท้อนลายตา
ปิดท้ายด้วยกลุ่มน้องๆ ทัศนศึกษา ที่ดี๊ด๊าและเจี๊ยวจ๊าวเสียงดังเป็นอย่างมาก แล้วเจอกันใหม่เอนทรี่หน้าค่ะ ^^