เคยมั้ย ที่บางครั้งในชีวิตเรารู้สึกเสียดายหรือเสียใจบางอย่างกับชีวิตที่ผ่านมา …
ที่มันเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะความผิดพลาด ไม่ใช่เพราะความล้มเหลว
แต่มันเกิดขึ้นจาก “ตัวเราเอง” ที่ทำอะไรแล้ว “ทำไม่สุด”
เช่น ขี้เกียจอ่านหนังสือบ้าง พูดแล้วไม่ยอมทำบ้าง ขี้เกียจออกกำลังกายบ้าง
โดยหาข้ออ้างให้ตัวเองไปเรื่อย ค่อยทำพรุ่งนี้บ้างล่ะ ขี้เกียจบ้างล่ะ ผลัดวันประกันพุ่งไปเรื่อย
สุดท้ายเมื่อรู้ตัวจึงมารู้สึกเสียใจทีหลัง พร้อมกับมีคำถามวนเวียนในหัวว่า
“ถ้า.. เฮ้ย.. ถ้ารู้งี้นะ .. ”
ส่วนเราเองในฐานะลูกเรือ ที่ทำหน้าไปส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยในทุกๆไฟลท์ แต่เราจะรู้หรือไม่ว่าในไฟลท์หนึ่งๆนั้น .. ภาพที่เราเห็นผู้โดยสายเดินขึ้นเครื่องบิน มาพร้อมกับรอยยิ้ม
- มันอาจเป็นไฟลท์แรกและไฟลท์สุดท้ายของผู้โดยสารคนนั้น
- มันอาจต้องใช้เวลากว่า 3 ปี ถึงจะได้กลับบ้านอีกครั้ง เช่น พวกแรงงานที่เดินทางมาที่โดฮา มาขายแรงงานในเมืองแขก เพื่อแลกกับเม็ดเงินที่จะใช้เลี้ยงครอบครัว
ซึ่งเรามักเห็นภาพผู้โดยสารไม่ยอมวางสายโทรศัพท์เสียทีก่อนเครื่องบินจะ Take off หรือร้องไห้เพราะไม่อยากจากบ้านไป (คนที่มาทำงานไกลบ้านจะเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี)
- มันคือเดินทางพร้อมกับคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
แล้วเราจะทำให้มันเป็นวันที่พิเศษของพวกเค้าได้อย่างไร?
เลยอยากจะสอนน้องๆ ให้รู้สึก “ขอบคุณและซาบซึ้งกับทุกๆ โมเม้นต์ในชีวิต” ที่เราเดินผ่านไป
จง ..
ทำให้ทุกวันเหมือนเป็นวันสุดท้าย หรือ
ทำทุกวันเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้
เหมือนคู่รักที่ทำทุกวันเสมือนวันแรกที่รักกัน มันคือรากฐานที่แข็งแรงของ “ Magic Moment” ที่ใช้ได้กับอาชีพการทำงาน (โดยเฉพาะ Hospitality Services ) และการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข
มาดูกันว่า เราสร้าง “Magic moment on board” กันอย่างไร ??
เพิ่งมีโอกาสได้ทำไฟลท์ มาเล่ , มัลดีฟส์ เกาะฮันนีมูนของใครหลายๆ คน
เพราะฉะนั้นการที่เราได้สร้างสิ่งอื่นที่นอกเหนือจาก “First impresstion” แล้ว สิ่งที่จะทำให้ผู้โดยสารประทับใจสำหรับการเดินทางนั้นๆ คือ “ Magic moment on board” (ซึ่งบริษัทจะชอบมาก ยิ่งถามตอนตอบคำถามสมัครแอร์ ถ้ากรรมการเห็นสิ่งนี้ในตัวเรา รับรองว่า 100ทั้ง 100 Congratuation E-mail มาแน่นอน!) เพราะสิ่งที่กรรมการมองหาในตัวผู้สมัครคือ
1.ทัศนคติในการทำงานของผู้สมัคร
2.กำไรของบริษัท กล่าวคือ การที่ผู้โดยสารเลือกใช้สายการบินเดิมอีก ในการเดินทางครั้งต่อไป ถือเป็นการสร้างเครือข่ายที่แข็งแรง หรือที่เราเรียกง่ายๆ ภาษาบ้านๆ ว่า “การได้มาซึ่งลูกค้าประจำ” นั่นล่ะ
เหตุการณ์ไฟลท์นั้นที่เราได้ทำคือ ไฟลท์นั้นมีที่นั่งว่างกว่าครึ่งลำ ผดส.ชั้นประหยัดเลยจะขออัพเกรดที่นั่งไปนั่งชั้นธุรกิจ (ซึ่งตามปกติก็คือไม่ได้อยู่เเล้ว) เเต่เราเลยบังเอิญได้รู้ว่า มีคู่หนุ่มสาวชาวอังกฤษ เค้ามาฮันนีมูนกัน โดยพูดตลอดเวลาว่า ” I can’t wait for our honeymoon ” ลูกเรือเลยได้เซอร์ไพร์ ทำเค้กผลไม้ ไปให้ ทำกันไป 3 ชุด 3 คู่ พร้อมกับการ์ดอวยพรเล็กๆ น้อยๆ (เป็นภาษาต่างๆ ตามสัญชาติลูกเรือที่บินในไฟลท์นั้น) เพื่อสร้างความประทับใจกับการเลือกบินกับเรา
ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนการ์ด ต้องขอบคุณลูกเรือสัญชาติไต้หวันบนเครื่อง เนื่องจากความอาร์ทของนาง!! ที่จะต้องพกปากกาน้ำ และกล่องระบายสีเล็กๆ ไปด้วยทุกที่ (แอบถามมาแล้วว่า ซื้อมาจากร้าน Stationary ที่ไต้หวัน ซึ่งในกล่องจะประกอบไปด้วย แป้นสี และ ปากกาแบบเติมน้ำ) ส่วนวิธีใช้นั้นแสนง่ายดาย เพียงเติมน้ำ เอาปากกาพู่กันจิ้ม แล้วละเลงบนกระดาษได้เลย
ผลงานที่รังสรรค์ออกมา (ดูดีเนอะ .. ความจริงเราวาดกันแบบง่ายๆ เน้นใส่ความจริงใจเข้าไป สร้างความประทับให้กับผู้โดยสารที่มา Honeymoon) ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่า เราได้ใส่ใจลงไปในเนื้องาน อย่างที่ตั้งใจทำทุกๆวัน ให้มันออกมาดีที่สุดนี่เอง ^^
เพิ่มเติม :: เก็บวิวฟ้าใสจากมัลดีฟส์มาฝาก
เวลาก่อนเเลนด์ ไม่ได้มองนอกหน้าต่างมานานเเล้ว ตอนเครื่องกำลังลดระดับลงเรื่อยๆ จะเห็นกลุ่ม Atoll กับน้ำใสๆ
ส่วนเครื่องบินที่ถ่ายได้เต็มลำขนาดนี้ น่าจะมีโอกาสได้เฉพาะที่ สนามบินอับราฮิม นาร์เซอร์ เพราะอาคารผดส. กับ รันเวย์ อยู่ติดกันเลย เวลาจะขึ้น-ลงเครื่อง ก็ใช้วิธีเดินเอาค่ะ
ยามตะวันตกเย็น
ยิ้มให้โลกสดใส กับวันที่ฟ้าเป็นใจ พร้อมกับสร้าง “Magic moment ในชีวิตกันต่อไป”