
วันนี้ฝนมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์จริง
“เทคนิคการมัดใจกรรมการ ทำอย่างไรให้โดดเด่นจากผู้สมัครท่านอื่นๆ”
โดยแบ่งแยกเป็นแต่ละรอบของกระบวนการสัมภาษณ์แอร์ ปล.เเต่ละสายการบินอาจมีกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครที่เเตกต่างออกไป เเต่โดยรวม Process ทุกสายการบินประมาณนี้
✈ 1.รอบวัดFirst Impression
✈ 2.รอบชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงหรือเอื้อมแตะ
✈ 3.รอบข้อเขียน
✈ 4.รอบกรุ๊ป
✈ 5.รอบไฟนอลสัมภาษณ์เดี่ยว
เผื่อได้เป็นประโยชน์กับน้องๆ ที่กำลังล่าฝัน จะได้ตามมาติดปีกกัน ฮูเล่ ^^/
1. รอบวัด First Impression
➨ 1.1 รอยยิ้ม
รอบแรกของการที่จะทำให้กรรมการรู้จักเรา ตัดสินใจเลือกเราภายในระยะเวลา 10 วินาทีแรก ทำอย่างไรก็ได้ให้กรรมการรู้สึกว่า ชั้นอยากได้คนนี้ ชั้นจะเลือกคนนี้ ชั้นชอบคนนี้ ทำอย่างไรล่ะ “รอยยิ้มค่ะ” เป็นCommonสากลแรกทั่วโลกสำหรับ First Impression การให้ความรู้สึกเป็นมิตร
เน้นย้ำนะคะ !! รอบแรก อย่าพูดเยอะ เค้าไม่ได้ฟังมากหรอกค่ะว่าเราพูดอะไร คุณจะจบมหาวิทยาลัยจากแอลเอ อ๊อกฟอร์ด ทำงานประสบการณ์มากโข ดีเริ่ดยังไง (ไว้ไปโฆษณาตัวเองรอบไฟนอลนะคะ ไม่ว่าจะสายไหนนั่นล่ะค่ะ)
ยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ที่ฝนสมัครกาตาร์รอบแรก รอบ 3 วิ.. ตอนนั่งในห้องประชุมแล้ว ยิ้มเยอะๆเลยนะคะ ส่วนหนึ่งกรรมการเค้าตัดสินเราตั้งแต่ตอนเรานั่งแล้ว หรือแอบมองนั่นเอง (เพราะตอนที่กำลังนั่งนี่แหละเป็นตอนที่เราเผลอที่สุดแล้ว บางคนเม้าท์กับเพื่อนเสียงดังเกินไป ทำความรู้จักเพื่อนพองามพอ,บางคนนั่งแคะขี้มูก,บางคนนั่งกดโทรศัพท์เล่น อย่าทำเด็ดขาดเลยค่ะ ยิ้มเยอะเยอะ ยิ้มแบบจริงใจ มั่นใจ ยิ้มแห้งๆ เกร็งๆ ไม่เอาค่ะ
➨ 1.2 การสบตา
หรือที่เราเรียกว่า การMaintain Eye Contact สำคัญในเนื้องานนี้มากและไม่ว่าจะงานไหนๆ เพราะการสบตาหมายถึงการแสดงความสนใจและใส่ใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลากรรมการถามคำถามยากมา ไม่ว่าจะดุ จุจิกกัดแค่ไหน ให้สบตาไว้ก่อน หากยังคิดคำตอบไม่ออกก็ยิ้มค้างไว้ก่อนก็ได้ แต่ห้ามหลบตาเด็ดขาด ! กรรมการรู้ทันทีว่าเราโกหก ลน..งานเข้ากันเลยทีนี้ สมมุติถ้ายกตัวอย่างเช่น ฝนยืนบอร์ดดิ้งผู้โดยสาร Good Morning Mam .. Welcome on board (แต่ตาลอยมองไปทางครัว) พอนึกว่าภาพออกใช่ไหม
➨ 1.3 รีบไปสมัครเช้าเช้า
ก่อนเวลารับสมัครได้หลายชม.เลยยิ่งดี รีบตื่นแต่งหน้าแต่งตัวไปสมัครตั้งแต่เช้า บางสายการบินคนเยอะ ต้องไปยืนรอรับบัตรคิว ถ้าได้คิวท้ายท้ายแล้วกว่าจะได้เข้าประชุมก็ปาไปซะเที่ยงแล้ว..เราเองหน้าก็เพลียมันแผล่บยืนบนส้นสูงเมื่อยมาตลอดวัน กรรมการเองก็เหนื่อย..หรืออาจจะเจอหรือเลือกคนถูกใจไปได้เยอะแล้วก็เป็นได้
อีกทั้งการไปสมัครตอนเช้าบางครั้งอาจมีโอกาสได้ทักทายกรรมการ ..อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะ คนมักพลาดเรื่องเล็กๆน้อยๆ มองข้ามโอกาสเล็กๆไปเสมอ คิดแต่ว่า ชั้นเจอกรรมการชั้นต้องทำให้ดีต่อหน้ากรรมการ แค่ตอนยื่นResumeยื่นดีทำดี เรียกชั้นแน่พรุ่งนี้..ลองคิดใหม่นะคะ มองดูภาพรวมกว้างๆถ้าเราเป็นกรรมการล่ะ เราอยากได้ผู้สมัครแบบไหนที่จะมาร่วมงานสายการบินกับเรา
➨ 1.4 เอกสารเตรียมให้พร้อม
สายการบินจะระบุเอกสารที่ต้องการอยู่แล้วก่อนวันจะรับสมัคร (เตรียมมาให้เกิน ดีกว่าเตรียมมาไม่ครบ) ย้อนกลับไปอ่านประสบการณ์สมัคร สายอาราเบียของฝนได้ .. ที่เอารูปมาผิดไซส์ ถึงกับแว๊นมอไซต์ไปถ่ายรูปกันเลย คิดแล้วตลก 5555 เตรียมไปให้พร้อมนะคะ ถึงเวลาเอกสารไม่ครบไปยืนอ้อนกรรมการยืนลน กรรมการบอกไม่เป็นไร แต่ความจริงตัดตกนะ แรงตรงนี้ TOT (อย่าลืมนะ สำคัญ)
➨ 1.5 การเชื่อฟังคำสั่ง
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ากรรมการรู้สึกชอบเราจะเลือกเราแล้ว (ตอนสมัครจะรู้เองค่ะ) อย่างฝนรอบที่สมัครโอมานแอร์ รอบแรกใส่ขนตาปลอมไปเพื่อความโดดเด่น (หรออ) ส่วนใหญ่สมัครรอบแรก Grooming ยังไม่คัดเป๊ะมากค่ะ ยังอนุโลมให้ใส่ขนตาปลอมได้อยู่ ไปขอเป๊ะเอาวันไฟนอลแล้ว บางสายระบุมาเลย ขอทำผมทรงBunนะ ขอเปิดหูนะ ขอเปิดเหม่งนะ แต่งหน้าโชว์ผิวที่สุด ห้ามบิ๊กอาย โนขนตาปลอม บลาบลาบลา
ฝนสัมภาษณ์รอบแรกก่อนจะทิ้งทวน ลากลับบ้าน ยิ้มหวานส่งท้ายให้กรรมการ (หวังเป็นเล็กๆว่าพรุ่งนี้จะเรียกกรูวนะ เรียกกรูเถิดดด) เหมือนกรรมการโดนใจแล้ว แอบพูดเป็นนัยๆว่า เอ้อ..แล้วพรุ่งนี้อย่าใส่ขนตาปลอมมาละ ! (แฮ่นั่น ไง รีบตอบ เยสมาดาม !!) .. แล้ววันถัดมา ห้ามใส่คือห้ามใส่นะคะ ใส่มาตัดตก (ได้เลย) เป็นเรื่องของการฟังคำสั่ง ถ้าเรื่องเล็กแค่นี้ยังทำไม่ได้ เวลาไปทำงานสภาพแวดล้อมบนเครื่องบิน ภาวะกดดันเยอะค่ะ ทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้า .. การเชื่อฟังคำสั่งเป็นอีกสกิลนึงที่ต้องมี
➨ 1.6 ความมั่นใจ
อย่าตื่นเต้น อย่าประหม่า ตื่นเต้นก็นั่งจิกมือตัวเองไป อย่าทำให้กรรมการรู้ ยิ้มหวานเข้าไว้(ถึงใจจะสั่นถึงไหนต่อไหนแล้ว..เป็นธรรมดาความตื่นเต้น ใครไม่ตื่นเต้นนี่ซิแปลก) มั่นใจเข้าไว้ ควบคุมสติให้ได้ กรรมการจะมองว่าการสัมภาษณ์งานPanicขนาดนี้.. เเล้วถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดบนเครื่องบินจริงจะขนาดไหน อิแอร์จะกรี๊ดแหกปากโวยวายก่อนผู้โดยสารอีกไหม
➨ 1.7 Grooming
กรูมมิ่ง คือ องค์ประกอบภายนอกโดยรวม ทั้งการแต่งหน้า ผม บุคลิก การนั่งยืนเดิน จะว่าไปกรูมมิ่งสำคัญทุกรอบเลยนั่นแหละค่ะ ลองหาข้อมูลดูว่าสายไหนชอบสไตล์การแต่งหน้าแบบไหน แบบแบ๊ว แบบเข้ม บล๊อกตาดำ แต่งตาพอธรรมชาติ ปากนู้ด ปากชมพู ปากแดง ทุกองค์ประกอบสำคัญหมด
➨ 1.8 สติ
สำคัญมากค่ะกับงานแอร์โฮสเตส ที่ต้องดีลกับผู้โดยสารมากหน้าหลายตา .. สติในที่นี้หมายถึง คิดก่อนพูด ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเจอผู้โดยสารเรื่องมากบนเครื่อง (เจอบ๊อยยย) จะนั่งนู้น นั่งนี่ เปลี่ยนไปตรงนั้น ทำไมไอ้นี่ไม่มี ไอ้นั่นละเอาได้ไหม เอาไอ้นี่มาให้หน่อย อยากกินไก่จากดาวอังคาร ขนมจากดาวพฤหัส (เปรียบเปรยให้นึกภาพออกนะ ผู้โดยสารน่ารักๆ ก้อมีเยอะ) อิแอร์ก้อนั่นล่ะ เจอผู้โดยสารเยอะ เจอมาเป็นร้อยร้อยคน เริ่มควบคุมสติและอารมณ์ไม่ค่อยจะได้ เหวี่ยงผู้โดยสาร (ฝนเองบางครั้งยังลืมตัวเหวี่ยง 55555 ) ต้องระวัง ณ จุดนี้ด้วยค่ะ
➨ 1.9 มารยาทเเละการพูดจา
Yes Madam . Yes Mam . Yes Sir การพูดจาด้วยถ้อยคำที่สุภาพ ถึงจะเป็นจุดเล็กๆแต่เป็นจุดเรียกคะแนนได้เช่นกัน
2.รอบชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงหรือเอื้อมแตะ
➨ 2.1 การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
รอบนี้กรรมการชอบขอดูผิว และแผลเป็นตามตัวเป็นพิเศษ ถ้ากรรมการไม่ถามก็ไม่ต้อง Declare แต่ถ้ากรรมการถามก็อย่าตกใจ เค้าอาจถามลองเชิงเฉยๆ อย่างฝนโดนกรรมการถามมาซะดุ นี่รอยอะไร นั่นรอยอะไร .. ยิ้มหวานไว้ก่อนแล้วค่อยหาเหตุผลแถไป “My lucky mole” อะไรก็ว่าไป แล้วอย่าลืมตบท้ายให้กรรมการสบายใจว่า ไม่ต้องกังวล เราสามารถใช้เครื่องสำอางค์ปกปิดได้ (ไว้รอบหน้าจะทำมาให้ดู แฮ่ แอบหยอดไว้เผื่อรอบหน้าเจอกันใหม่)
➨ 2.2 กาลเทศะ
ถ้ากรรมการกำลังยุ่งกับผู้สมัครท่านอื่นอยู่ เรายืนรอต่อแถวไปก่อน อย่าเพิ่งรีบเดินพรวดพราดเข้าไป รอให้เค้าเรียกเราเข้าไปชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงก่อน ค่อยเดินเข้าไป ระหว่างรอก็เดินไปยิ้มไปนะคะ
3.รอบข้อเขียน
➨ 3.1 ทัศนคติ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำข้อสอบข้อเขียน
คือการพยายามเล่าเรื่องให้เห็นภาพ ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ถ้ารู้ตัวว่าเวลาใกล้หมด เขียนไม่ทันยังไม่จบเรื่อง พยายามเล่าพ้อยด์สำคัญ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คำถามถาม (สิ่งที่กรรมการอยากรู้) ส่วนใหญ่คำถามกว้างเราสามารถเลือกตอบได้หลากหลาย
ยกตัวอย่างเช่น What is your most disappointment in your life ? คำตอบของแต่ละคนมีได้หลากหลาย วิธีการเขียน การเล่าเรื่อง บ่งบอกถึงทัศนคติของผู้เขียนอยู่แล้วค่ะ (อย่าว่าที่ทำงานเก่า อย่าตำหนิเพื่อนร่วมงาน อย่าดูถูกผู้อื่น พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองและศาสนา ถ้าเขียนต้องเขียนแนวเป็นกลาง ถ้าต้องเล่าเรื่องความบกพร่อง อย่าลืมตบท้ายสวยสวยว่าได้ประโยชน์อะไรมาจากข้อผิดพลาดเหล่านั้นบ้าง จะไม่ทำอีก และนำไปปรับปรุงแก้ไขใช้กับอนาคตอย่างไร พยายามเขียนแง่บวกเข้าไว้) ส่วนเรื่องแกรมม่าไม่ต้องกังวลมาก พยายามเขียนให้ถูกและสะกดให้ถูกเท่านั้นพอค่ะ
➨ 3.2 ความรู้เกี่ยวกับสายบินที่สมัคร
ส่วนใหญ่รอบข้อเขียน จะมีสไลด์ Presentation เกี่ยวกับสายการบินให้ดูอยู่แล้ว ตั้งใจดูนะคะ บางทีไปโผล่ตรงข้อช้อยข้อเขียนหรืออาจไปโดนถามเอารอบไฟนอลได้
4.รอบกรุ๊ป
➨ 4.1 การเปิดโอกาสให้เพื่อนพูด
แสดงถึงวิธีการเข้าหาเพื่อน คำถามกรุ๊ปมีได้หลายแบบ ฝนยกตัวอย่างเช่น การหยิบคำถามจากโหล การส่งคำถามต่อให้เพื่อนคำถามต้องไม่ยากเกินไปจนเพื่อนตอบไม่ได้และคำถามไม่ได้ง่ายเกินไป หรือหากกรรมให้แนะนำเพื่อนข้างๆ ทั้งข้อดีและข้อเสีย ให้ความสำคัญกับเรื่องของเพื่อน อย่าพูดแต่เรื่องของตัวเอง พยายามชมเพื่อนไว้ก่อนนะคะ อย่าติเพื่อนเด็ดขาด
➨ 4.2 ทัศนคติที่ดี
การแชร์ไอเดียใหม่ๆที่น่าสนใจเพื่อทำคะแนน เสนอจุดที่น่าสนใจ อย่าเอาแต่นั่งนิ่งหรือเออออห่อหมกตามเพื่อนตลอด เราจะไม่ได้คะแนน แล้วเมื่อใดที่เพื่อนเสนอความคิดเห็น ให้ชมก่อนเสมอ Such a very nice idea
ส่วนเมื่อใดที่เราไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเพื่อน แย้งได้ค่ะแต่ต้องเป็นไปในทางที่สุภาพ อย่าพูดหักหน้าเพื่อน เช่น Such a very nice idea I certainly understand your point but ..
➨ 4.3 ท่านั่งการวางตัว
ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องหน้าตาสวย แต่ถ้าบุคลิกภาพดีท่านั่ง ท่ายืน สง่า การพูดจา ก็ดูดีมีชัยไปกว่าครึ่งค่ะ
➨ 4.4 Teamwork
เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก ใช้ได้ทั้งการดำเนินชีวิตจริงและการทำงานบนเครื่องบิน การจัด Group Discussion เพื่อรับสมัครแอร์โฮสเตส..เพื่อวัดกันที่ความเป็น Team Work นี่แหละค่ะ การช่วยกันเสนอไอเดีย ออกความคิดเห็น เพื่อให้ทีมไปรอดด้วยกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าเราออกความเห็นที่ดีแค่ไหนแต่หากทีมไปไม่รอดก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ
5. รอบไฟนอลสัมภาษณ์เดี่ยว
➨ 5.1 ความเป็นธรรมชาติ
การตอบคำถามและการเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ และควรอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ยกตัวอย่างอย่างที่ฝนเล่าตอนรอบไฟนอลกับโอมานแอร์ .. กรรมการถามว่าเคยต้องรับมือกับปัญหาเรื่องความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมไหม ฝนเองก็เล่าเป็นเรื่องเป็นราว (แต่งเรื่องมาเองอยู่ก่อนแล้วยิ่งหัดพูดพอเวลามาเล่าต่อหน้ากรรมการจะได้เป็นธรรมชาติ) “ตามไปอ่านประสบการณ์การสมัครเต็มๆได้ที่ http://beshine.exteen.com/20130220/entry ”
➨ 5.2 ความรู้เกี่ยวกับสายบินที่สมัคร
จำเป็นมากเลยค่ะ กรรมการจะได้รู้สึกว่าเรามีความสนใจอยากจะ Join กับสายการบินเค้าจริงๆ เช่น สโลแกนสายการบิน,สายการบินใช้เครื่องบินType ไหนบ้าง ,บินไปไหนบ้างกี่ทวีป , รู้อะไรเกี่ยวกับสายการบินบ้าง ,บริษัทก่อตั้งเมื่อไหร่ ,Uniform ที่ใช้ผ้าที่ใช้ บลาบลาบลา เผื่อกรรมการถาม
ท่องไว้ว่า..ไปของานเค้าทำควรจะรู้ทุกเรื่องของบริษัท ส่วนหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากที่ไหน เข้าเว็บไซต์ตามสายการบินนั้นๆ เลย มีประวัติบอกไว้หมดเเล้ว
➨ 5.3 ไหวพริบ
บางคำถามที่เราไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เราสามารถเอาคำตอบของบางคำถามมาประยุกต์ตอบด้วยกันได้.. หรือบางคำถามที่เป็นคำถามยาก เราไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอมาก่อน ใช้ไหวพริบในการตอบคำถาม อย่างรอบไฟนอลโอมานแอร์ เพื่อนฝนโดนถามว่า ทำไมถึงอยากมาเป็นแอร์ล่ะ เพื่อนฝนตอบไปอย่างสวยงาม ว่าอยากมาเรียนรู้งานบริการ บลาบลาบลา กรรมการสวนกลับทันที .. อ้าวงี้ไม่สมัครงานตามร้านอาหารล่ะ เป็นบ๋อย หรืออะไรก็ได้ เนื้องานเดียวกัน หากหน้าเหวอ ตอบตะกุกๆ เริ่มจะเสียคะแนนแล้ว
เพื่อนฝนเลยรีบตอบกลับต่อไปว่า.. งานบริการเป็นส่วนหนึ่งของงานพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก และยังมีอีกหลายเนื้องานที่ต้องเรียนรู้ .. ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าท้าทายและโอกาสที่ดี บลาบลาบลา ตอบแบบใช้ไหวพริบไปให้กรรมการคล้อยตามและเห็นภาพในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ คือกรรมการอาจไม่ได้สนใจคำตอบที่เราตอบมาก แต่สนใจที่ “วิธีการ”ที่เราจะตอบต่างหาก พอเห็นภาพมั้ยเอ่ย
➨5.4 ภาษาอังกฤษ
เพิ่งได้มาเขียน ความจริงเเล้วเพิ่งนึกออก 5555 ว่าไปแล้วภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกรอบนะคะ ไม่จำเป็นต้องพูดคล่องแคล่ว (แต่ถ้าได้ก็ดี) ขอแค่สื่อสารรู้เรื่อง กรรมการถามอะไรมา ตอบได้ตรงคำถาม และ ไม่ต้องให้กรรมการทวนคำถามให้บ่อยๆ เป็นพอ
6.อื่นๆ
➨ 6.1 หาฝึกงานเพิ่มเติม
น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่ตอนปิดเทอมเล็กสามารถไปฝึกงานได้ที่สนามบินในสายงานที่เกี่ยวข้องกับสายการบิน ทั้งเรื่องการบริการหรือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น (ข้อมูลจากเว็บไซต์นี่เลย รวบรวมทุกสายการบินที่เปิดรับเด็กฝึกงาน http://www.thaiairportjob.com )
ตอนปิดเทอมเล็กเคยไปสมัครพาร์ททามทั้งร้านกาแฟ สตาร์บั๊คและร้านอาหารเกรย์ฮาว อยากลองไปทำมาก (ทุกวันนี้ก็ยังอยากทำ แอนนัลลีฟถ้าหยุดยาวยังอยากไปทำอยู่เลย แอร้ยยย) แต่เวลาไม่พอค่ะ เพราะต้องฝึกงานทั้งที่การบินไทยและอีวาร์แอร์ ตอนช่วงปิดเทอมเล็กแล้วด้วย ขอเค้าทำงานได้แค่ 3 อาทิตย์ เค้าเลยไม่รับอดไป
เลยไปเรียน(ฟรี) คอร์สปฐมพยาบาลเบื้องต้นเอา (อย่างน้อยตอนนั้น กรูวก้อรู้ว่า CPR ยังไงแหละว๊า 5555) ส่วนไปหาคอร์สเรียนมายังไง เสิทอินเตอร์เนตนี่เลย..ใช้ให้ถูกทางมีประโยชน์มากค่ะ
➨ 6.2 ภาษาที่สาม
ถามว่าจำเป็นไหม ไม่จำเป็นค่ะ แค่ภาษาอังกฤษคล่องแคล่วก็พอแล้ว แต่ถามว่าจะเป็น Benefit ให้กับตัวผู้สมัครไหม ตอบได้เลยว่าแน่นอนค่ะ อย่างน้อยผู้สมัคร 2 คน สวยเหมือนกัน บุคลิกดีเช่นกัน ตอบคำถามดีพอกัน แต่อีกคนพูดภาษาที่สามได้เข้าไปอีก กรรมการจะเลือกใครพอเดาออกกันเนอะ ใครที่รู้ตัวว่าอยากเป็นแอร์ตั้งแต่เนิ่นๆ เรียนไว้ไม่เสียหาย ถึงไม่ได้ใช้กับเนื้องานเเอร์ เเต่ก็ยังใช้ได้กับชีวิตประจำวันเเน่นอน
➨6.3 แหล่งความรู้อื่นๆ
หมั่นหาข้อมูลที่อัพเดทที่มีประโยชน์ตามอินเตอร์เน็ตเยอะแยะไปหมด หรือเว็บไซต์ที่ฝนเปิดเป็นประจำ www.thaicabincrew.com
สุดท้ายแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนไปสมัครจริง เตรียมร่างคำถาม-คำตอบไว้ ฝึกพูดหน้ากระจก .. หรือจะอัดวีดิโอตอนเราตอบคำถามก็ได้ เวลากลับมาดูซ้ำจะได้รู้ว่าเรามีข้อผิดพลาดที่ไหนที่ควรปรับปรุง เพราะงานสายการบินไม่ได้มาเปิดรับสมัครทุกวัน อย่างมากก็มารับสมัครปีละ 2 ครั้ง คือใครพลาดแล้วพลาดเลย รอใหม่เลยปีหน้า นอกจากจะไปสมัครสายอื่นอีก(อายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ปีๆนึงเด็กจบมาใหม่เยอะแยะ คู่แข่งขันเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
สุดท้ายแล้ว ฝนเอาใจช่วย เตือนตัวเองเสมอว่าอย่าหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า พึ่งตนเองให้มากที่สุด ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ ถ้าผลยังออกมาดีไม่พอ ให้เอาข้อผิดพลาดเหล่านั้นมาปรับปรุง ให้ดียิ่งยิ่งขึ้นไปอีก
หวังว่าบทความที่ฝนเขียนไม่บทใดก็บทหนึ่งก็ตามจะเป็นประโยชน์ให้กับน้องใหม่ที่กำลังล่าปีกกันทุกคนค่ะ